วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นางสาว อัมธิกา ลิ้มเซง( อัม )
5213000580
คณะ มนุษย์ศาสตร์ สาขา ศิลปกรรมศาสตร์ - ออกแบบประยุกษ์ศิลป์
ARTI3316,103


1.Product
2.Art Object
3.shop --- Brand
4.Exam










CASE STUDY


1.element = ร้านอาหารตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลักและมีต้นไม้อยุ่รอบ
2.principce =ร้านอาหารอีสานรสแซบสไตล์โมเดิร์นคลาสิค
3.composition(cofiguration)=ยกตัวอย่างที่ใส่ข้าวเหนียวหรือที่เรียกว่ากระติบดัดแปลงรูปทรงใหม่ให้ดูน่ารัก น่าสนใจ และ ตามมาด้วยภาชนะใส่ไก่ ก็จะใช้ครกขนาดเล็กกระทัดรัดมาใส่ไก่ทอดแทน ซึ่งทำให้ดูน่ารับประทานและดูเก๋ไปอีกแบบ
- Rhythm=ร้านเปิดตามเวลาของห้างเซ็นทัล เวิลล์
- unyty =ร้านเป็นกันเอง ดูสะอาด ตา
- Balance =ร้านเหมือนอยุ่ในธรรมชาติ
- Contrast =ร้านที่ตั้งอยุ่ในเซ็นทัลซึ่งขัดแย้งตรงที่ร้านบรรยากาศธรรมชาติและเก๋มาตั้งอยุ่ที่ห้างสรรพสินค้าี่คนพลุกล่าน
- Harmony =เก๋เรียบง่ายแลดูเปนธรรมชาติ
- Emphasis for Domience =สไตล์การตกแต่งเน้นสไตล์โมเดิร์นจุดเด่นร้านเน้น เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลักและรสชาติอาหารที่อร่อย ยกตัวอย่าง เช่น 1. ปีกไก่ทอดน้ำปลา ที่มีรสชาตินุ่ม รสเค็มกำลังดี
2. น้ำจิ้มไว้ทานกับอาหาร หรือที่เรียกว่า น้ำจิ้มเเจ่ว 3.ยำวุ้นเส้นไส้กรอกอีสาน ครบทุกรสชาติ

เปรี้ยวเค็มเผ็ด และสุดท้าย 4. ต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน กลมกล่อม เปรี้ยว เผ็ด กำลังดี




ตัวอย่างร้านอาหาร10ร้าน 


1. โรงแรมเลอ บัว แอท สเตท ทาวเวอร์ - Sirocco




โรงแรมเลอ บัว แอท สเตท ทาวเวอร์   - Sirocco


ภัตตาคาร Sirocco ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 63 ของเดอะโดม ถือเป็นจุดที่มีทัศนียภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นร้านอาหารบนยอดตึกโรงแรมที่มีวิวสวยที่สุดแล้ว Sirocco ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น 'Hot Tables' & 'Hot Night' โดย Conde Nast Traveler เมื่อปี ค.ศ. 2005 และได้รับการขนานนามว่าเป็นภัตตาคารแบบเปิดโล่งที่ "สูงที่สุดในโลก" อีกด้วย

ที่สำคัญ อาหารที่นี่ยังอร่อยและขึ้นชื่อ การันตีด้วยรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยม แถมดนตรีก็ไพเราะ เหมาะสำหรับท่านที่ชื่นชอบฟังเพลงแจ๊ส ส่วนเรื่องบรรยากาศนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ชนิดสวยตะลึงของกรุงเทพฯ และแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งในเวลาโพล้เพล้และยามค่ำคืน 
2. โรงแรมบันยัน ทรี - Vertigo Grill & Moon Bar

โรงแรมบันยัน ทรี - Vertigo Grill & Moon Bar


ร้านอาหาร Vertigo Grill & Moon Bar ตั้งอยู่บนชั้น 61 ของโรงแรมบันยัน ทรี ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำหรับท่านที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารค่ำเคล้าบรรยากาศอันงดงาม โดยเฉพาะในยามพระอาทิตย์ตกดินที่กรุงเทพมหานคร

เนื่องจาก "Vertigo Grill & Moon Bar" ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม จึงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้สุดลูกหูลูกตาในแบบพาโนรามา หากใครได้มาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่แล้วจะรู้ว่า กรุงเทพฯ ของเรานั้น สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยจริงๆ 





3. โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ - Fifty Five / Red Sky 


โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ - Fifty Five / Red Sky
ร้าน Fifty Five ตั้งอยู่บนชั้น 54 และ 55 ของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ในขณะที่ ร้าน Red Sky ตั้งอยู่บนชั้น 55 ทั้งสองร้านที่ว่านี้ นอกจากจะเสิร์ฟอาหารคุณภาพเยี่ยมแล้ว ยังมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ อีกด้วย 






4. โรงแรมดุสิตธานี - D'Sens
โรงแรมดุสิตธานี  -  D’Sens




D'Sens คือ ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศส ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้นบนสุดของโรงแรมดุสิตธานี ภัตตาคารแห่งนี้มีผนังกระจกขนาดใหญ่ ลูกค้าที่ไปรับประทานอาหารจึงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของสวนลุมพินี และย่านสีลม






5. โรงแรมแลนด์มาร์ค - RR & B Bar


โรงแรมแลนด์มาร์ค - RR & B Bar
โรงแรมแลนด์มาร์ค - RR & B Bar






RR & B Bar เป็นสเต็กเฮ้าส์และบาร์ที่ตั้งอยู่บนชั้น 31 ของโรงแรมแลนด์มาร์ค ย่านสุขุมวิท นอกจากที่นี่จะมองเห็นวิวของตึกระฟ้า และแสงสว่างเป็นแนวยาวของทางด่วนแล้ว ยังมีอาหารรสเลิศ และเครื่องดื่มชั้นยอดไว้คอยบริการอีกด้วย


6. โรงแรม เวสติน แกรนด์ สุขุมวิท - Horizon Sky Lounge and Karaoke












โรงแรมใบหยกสกาย - Bangkok Sky Restaurant  / Crystal Grill  / Roof Top Bar & Music




โรงแรมใบหยกสกาย ตั้งอยู่บนตึก "สูงที่สุดในประเทศไทย" ที่นี่มีร้านอาหารบนยอดตึกให้เลือกลิ้มรสและชมวิวถึง 3 แห่ง ได้แก่ ร้านอาหาร Bangkok Sky Restaurant บนชั้น 76 และ 78 ร้านอาหาร Crystal Grill บนชั้น 82 และร้าน Roof Top Bar & Music บนชั้น 83 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานบันเทิงที่สูงที่สุดในประเทศไทย 








8. โรงแรมโอเรียลเต็ล - Verandah 




โรงแรมโอเรียลเต็ล - Verandah




ห้องอาหาร The Verandah ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาภายในโรงแรมโอเรียลเต็ล ที่นี่เหมาะสำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็น โดยมีให้เลือกทั้งอาหารแบบตะวันตกและตะวันออก แวดล้อมด้วยบรรยากาศแบบไทยๆ ภายใต้รูปแบบการบริการระดับห้าดาว

*โอเรียลเต็ล เป็นโรงแรมที่อยู่ในอันดับ 14 จาก "สุดยอด 500 โรงแรมดีที่สุด" ของนิตยสาร Travel and Leisure 











9. โรงแรมมิลเลเนียมฮิลตัน - Three Sixty Lounge








โรงแรมมิลเลเนียมฮิลตัน - Three Sixty Lounge


Three Sixty Lounge ตั้งอยู่บนชั้น 32 ของโรงแรมมิลเลเนียมฮิลตัน บริเวณเล้าจ์ได้รับการออกแบบให้ผู้ใช้บริการได้สัมผัสความโล่งโปร่งสบายของผนังกระจก และยังมองเห็นวิวเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ในมุมกว้างจนสุดสายตา พร้อมบรรยากาศโรแมนติกด้วยการจิบคอกเทลเคล้าดนตรีแจ๊สเบาๆ 






10. โรงแรมเพนนินซูล่า - Thiptara


โรงแรมเพนนินซูล่า - Thiptara






ร้านอาหารทิพย์ธารา ได้ชื่อว่าเป็น "สวรรค์บนน้ำ" เนื่องจากทอดตัวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของต้นไทรขนาดใหญ่ ที่นี่ให้บริการอาหารไทยด้วยรูปแบบและรสชาติแบบไทยๆ แม้กระทั่งบรรยากาศและการตกแต่งภายในยังมีลักษณะเป็นกลุ่มเรือนไทยไม้สัก ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน

*เพนนินซุล่า เป็นโรงแรมที่อยู่ในอันดับ 17 จาก "สุดยอด 500 โรงแรมดีที่สุด" ของนิตยสาร Travel and Leisure 





ประวัติ Coco Chanel


ประวัติ Coco Chanel หรือชื่อจริง Gabrielle Bonheur ดีไซเนอร์ แฟชั่นโลก ที่ชอบไข่มุก เป็นชีวิตจิตใจ จากแฟ้ม ประวัติดีไซเนอร์ กล่าวว่า เกิดอยู่ที่ Saumur เมื่อปี 1883 แล้วตายเมื่อ 10 มกราคม 1971 อายุได้ 88 ปี โดยเธอ ต้องกำพร้า แม่ เมื่ออายุเพียง 12 ขวบ เธอเป็นผู้ปฏิวัติ วงการแฟชั่น ด้วยการได้พบเห็น แฟชั่นโบราณ แบบเก่าๆของ ผู้หญิง ไฮโซ ใส่หมวกใบใหญ่ๆ เสื้อมีคลุ่ยวุ่นวาย มาเป็นการใส่ชุดแบบ ยูนิฟอร์มสีดำเท่ห์ๆ Coco นั้น เป็นชื่อเล่นของ Gabrielle Bonheur ที่เธอได้มาตอนอายุ 18 ปี จากการร้องเพลง ไม่ใช่ชื่อ แต่อ้อนแต่ออก ชีวิตวัยเด็ก เธอมีความยากลำบาก มากๆ
Coco Chanel
แต่ Coco Chanel ได้เปิดร้านเป็นครั้งแรก เมื่อ 1910 ตอนอายุ 27 ปี ในปารีส เริ่มจากการทำชุดนักกีฬาและหมวก ต่อมาปี 1921 เธอได้ออก น้ำหอม Chanel No. 5 ซึ่งมันก็
เป็นแค่ กลิ่นของน้ำหอม ตัวอย่างหมายเลข 5 เท่านั้นเอง เบอร์ 5 จึงเป็น lucky number ของเธอ แต่ทุกวันนี้ หลายคนก็ยังนิยมชมชอบ No. 5 อยู่
ในปี 1924 Coco Chanel ได้นำดีไซแปลกใหม่ ประมาณว่า เป็นต้มหูไข่มุก ที่ ด้านหนึ่งขาว ด้านหนึ่งดำ เข้ามาสู่สังคมแฟชั่นปารีส
Coco Chanel
นอกจากนี้ Coco ยังได้นำเอา กระโปรงสั้น เข้ามาในวงการแฟชั่น จนทำให้วงการแฟชั่นช่วงนั้น ต้องเปลี่ยนไปทันที


เธอได้เปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่าง ให้กับวงการแฟชั่นปารีส จริงๆ

Coco Chanel มีชื่อเสียงมา ระยะหนึ่ง ( 1953 ) ช่วงนี้ Christian Dior เริ่มเป็นคลื่น ลูกใหม่ที่แรง เข้ามา และในขณะเดียวกัน การมีนักออกแบบ ปารีสรุ่นใหม่ๆ ทีประสบความสำเร็จ เกิดขึ้นมากมาย
คนดูแล และออกแบบแฟชั่น งานชุดเดรส ใหม่ๆ ของ Coco Chanel คือ Karl Lagerfeld ซึ่งวันหลัง คงได้มา เล่า ความเก่ง กล้าสามารถ ของดีไซเนอร์ ปู่ Karl Lagerfeld ให้ได้ฟังกัน เขาเป็นคนที่ เข้ามา ปฏิวัติ Chanel เอามากๆ อีกคน
ก่อนจบ มีคำคมของเธอ ไม่รู้จำผิด จำถูก มอบให้ กับดีไซน์เนอร์ไฟแรงๆ แบบคุณ
  • แฟชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์แฟชั่น แต่สไตล์ของใคร มันไม่เคยเปลี่ยน
  • ผู้หญิงที่ห่างหาย ไม่แต่ะต้องน้ำหอม ก็คงเป็นหญิงที่ไร้จะมีอนาคต
  • ฉันไม่ได้ทำงานเรื่องแฟชั่น แต่ตัวฉันคือ แฟชั่น
  • สีเครื่องแต่งกายที่เหมาะกับคุณที่สุดในโลก คือสีที่คุณใช้มันแล้วดูดีที่สุด
  • ความเรียบง่าย มักนำพามาซึ่งความโก้เก๋ และความสง่าผ่าเผยเสมอ